วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กรณีศึกษา “ไทยคร๊าฟท์”

กรณีศึกษา “ไทยคร๊าฟท์”

(ใช้เป็นภาพประกอบเท่านั้น มิใช่ บริษัท ไทยคร๊าฟท์ จำกัด จริง)

บริษัท ไทยคร๊าฟท์ จำกัด เป็นผู้ส่งออก (Exporter) โดยสินค้าที่ไทยคร๊าฟท์ส่งออกเป็นสินค้าหัตถกรรมที่ทำจากผ้า เช่น ผ้าปูโต๊ะ ผ้ารองจาน กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง กระเป๋าถือสตรี ชุดคลุมอาบน้ำ หมวกคลุมผม ถุงมือจับของร้อน ฯลฯ ก่อตั้งโดยคุณอภิรักษ์ เมื่อปี พ.ศ. 2535 ไทยคร๊าฟท์ไม่ได้ผลิตสินค้าด้วยตนเอง แต่ใช้วิธีว่าจ้างโรงงานในจังหวัดภาคเหนือให้ผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อที่บริษัทฯได้รับจากลูกค้า

ภาพตัวอย่างสินค้า

ถุงมือจับของร้อน / กระเป๋าถือสตรี / กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง


ชุดคลุมอาบน้ำ / หมวกคลุมผม / ผ้ารองจาน


ผ้าปูโต๊ะ


ปัจจุบันคุณอภิรักษ์อายุ 39 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจหลักสูตรผู้บริหาร (Executive MBA) มีประสบการณ์การทำงานในบริษัทส่งออกขนาดเล็กแห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปีก่อนที่จะลาออกมาก่อตั้งบริษัท ไทยคร๊าฟท์ จำกัด

เริ่มแรกไทยคร๊าฟท์มีพนักงานเพียง 3 คน พนักงานหนึ่งในสามคนเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทเก่าที่คุณอภิรักษ์เคยทำงานอยู่ พนักงานที่เหลือเป็นบุคคลที่รับเข้าทำงานโดยการแนะนำของผู้ที่คุ้นเคยกับคุณอภิรักษ์ คุณอภิรักษ์เป็นผู้ฝึกอบรมทักษะการทำงานให้กับพนักงานทุกคนด้วยตนเอง การฝึกอบรมเป็นลักษณะของการสอนงานในระหว่างปฏิบัติงานจริง (On-the-job Training) พนักงานทุกคนจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับคุณอภิรักษ์มาก

Vision ของไทยคร๊าฟท์
“เราจะเป็นองค์กรสมัยใหม่ที่ประกอบกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยการจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพและให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า ความสำเร็จของกิจการจะได้มาจากการลงทุนทางด้านทรัพยากรบุคคล ความรู้ ความยึดมั่นในบรรษัทภิบาล (Good Corporate Governance) และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรธุรกิจ (Strategic Partner)”

นอกจากลูกค้าประจำแล้ว ยังมีลูกค้ารายใหม่ๆ ให้ความสนใจกับสินค้าของไทยคร๊าฟท์เช่นกัน การเจรจาธุรกิจกับลูกค้ารายใหม่ๆ บางครั้งก็ประสบความสำเร็จจนสามารถขายสินค้าได้ แต่บางครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จ สำหรับรายที่สามารถขายสินค้าได้ บริษัทฯ จะพยายามพัฒนาความสัมพันธ์เพื่อเปลี่ยนให้ลูกค้าเหล่านี้เป็นลูกค้าประจำ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากลูกค้าขาดศักยภาพในการจำหน่ายสินค้าของไทยคร๊าฟท์ซึ่งมีคุณภาพและราคาสูงกว่าคู่แข่ง

คุณอภิรักษ์พยายามสร้างองค์กรให้มีทักษะและความสามารถในการจัดหาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพจากพันธมิตรธุรกิจ รวมทั้งการสร้างและพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับคู่ค้าทุกราย

คุณอภิรักษ์เป็นผู้บริหารที่เน้นการบริหารแบบเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนตัดสินใจเกี่ยวกับงานประจำของตนรวมทั้งสามารถขอคำปรึกษาจากคุณอภิรักษ์ได้ตลอดเวลา ทำให้คุณอภิรักษ์มีความใกล้ชิดกับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ ตัวคุณอภิรักษ์ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงยังมีความเชื่อมั่น (Confidence) ในตัวพนักงาน และให้ความไว้วาง (Trust) ต่อพนักงานพอสมควร พนักงานแต่ละฝ่ายงานสามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้โดยตรงและยังมีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างดี พนักงานทุกคนของไทยคร๊าฟสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี มีการปรึกษาหารือและร่วมกันแก้ไขปัญหาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ถือได้ว่าการประสานงานระหว่างหน่วยย่อยในองค์กรเป็นไปอย่างดี

ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ไทยคร๊าฟท์มีพนักงานทั้งหมด 7 คน โครงสร้างองค์กรของบริษัทฯ มีลักษณะดังนี้

1. ฝ่ายขาย ประกอบด้วยพนักงานสตรี 3 คน ทุกคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ฝ่ายขายยังไม่มีหัวหน้าฝ่าย พนักงานทุกคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ กก. ผจก. งานของพนักงานในฝ่ายขายได้แก่
- ประชุมเรื่องรายละเอียดของออร์เดอร์กับกรรมการผู้จัดการ(กก. ผจก.): ลูกค้าสั่งสินค้าและติดต่อกับบริษัทฯ ทางอีเมล์เป็นภาษาอังกฤษ แต่พนักงานในฝ่ายขายยังขาดทักษะที่ดีพอในการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ จึงต้องปรึกษากับ กก. ผจก. ทุกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของออร์เดอร์ก่อนที่จะนำข้อมูลไปปฏิบัติงานในขั้นตอนต่อไป
- เตรียมวัตถุดิบ: พนักงานในฝ่ายขายต้องประสานงานกับ Supplier ในเรื่องเกี่ยวกับวัตถุดิบสำหรับผลิตออร์เดอร์ เช่น รายละเอียด (Specification) ปริมาณ เวลาส่งมอบ ฯลฯ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว Supplier จะส่งวัตถุดิบดังกล่าวไปให้โรงงานที่รับจ้างผลิตสินค้าให้บริษัทฯ ตามรายละเอียดที่ตกลง
- จัดทำใบสั่งผลิตสินค้า: พนักงานในฝ่ายขายต้องติดต่อกับผู้จัดการโรงงานที่รับจ้างผลิตสินค้าให้บริษัทฯ เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของออร์เดอร์ พร้อมทั้งส่งใบสั่งผลิตสินค้าที่มีรายละเอียดที่ชัดเจนของออร์เดอร์ไปให้กับผู้จัดการโรงงานดังกล่าว
- ติดต่อประสานงานกับผู้จัดการโรงงานที่รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทฯ : พนักงานในฝ่ายขายต้องติดตามความคืบหน้าของออร์เดอร์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพื่อป้องกันความล่าช้าในการผลิตและร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
- ตรวจสอบคุณภาพสินค้า: พนักงานในฝ่ายขายต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่โรงงานผลิตก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า หากสินค้ามีคุณภาพที่ไม่ตรงตามความต้องการ พนักงานจะส่งสินค้ากลับไปให้โรงงานปรับปรุงแก้ไข โดยปกติ โรงงานจะต้องทำสินค้าต้นแบบที่มีคุณภาพตามต้องการให้บริษัทฯ อนุมัติก่อนเริ่มผลิตสินค้าจริง
- ติดต่อประสานกับบริษัทชิปปิ้ง: พนักงานในฝ่ายขายต้องประสานงานกับบริษัทชิปปิ้งเพื่อให้บริษัทชิปปิ้งสามารถจัดทำเอกสารและดำเนินพิธีการศุลกากรสำหรับการส่งออกสินค้าได้
- รับชำระเงินจากลูกค้า : เมื่อส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว พนักงานในฝ่ายต้องจัดทำเอกสารให้กับธนาคารเพื่อขอรับชำระเงินค่าสินค้าตาม L/C (Letter of Credit) ของลูกค้า
กก. ผจก. แบ่งลูกค้าให้พนักงานในฝ่ายขายรับผิดชอบเป็นรายๆ ไป กล่าวคือ ลูกค้ารายหนึ่งๆ จะอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานคนเดิมตลอดเวลา เมื่อลูกค้ารายนี้สั่งซื้อสินค้า พนักงานคนเดิมก็จะทำงานดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด จนกระทั่งสินค้าถูกส่งมอบและบริษัทฯ ได้รับชำระเงิน

2. ฝ่ายบรรจุหีบห่อ ประกอบด้วยพนักงานชาย 2 คน ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปวช/ปวส ฝ่ายบรรจุหีบห่อยังไม่มีหัวหน้าฝ่าย พนักงานทุกคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ กก. ผจก. งานของฝ่ายบรรจุหีบห่อ ได้แก่
- บรรจุสินค้าลงกล่องและปิดผนึก
- ติดต่อหน่วยงานภายนอกองค์กรเกี่ยวกับการรับส่งเอกสาร ตัวอย่างสินค้า ตัวอย่างวัตถุดิบ
นอกจากนี้ พนักงานในฝ่ายบรรจุหีบห่อยังต้องช่วยฝ่ายอื่นรับส่งเอกสาร หรือติดต่อกับหน่วยงานภายนอกตามที่ได้รับการร้องขอ

3. ฝ่ายบริหารจัดการทั่วไป ประกอบด้วยพนักงานสตรี 2 คน ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ฝ่ายบริหารจัดการทั่วไปยังไม่มีหัวหน้าฝ่าย พนักงานทุกคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ กก. ผจก. งานของฝ่ายนี้ได้แก่
- การชำระเงิน : รับวางบิล จัดทำเช็ค ฯลฯ
- จัดทำเงินเดือนและดูแลสวัสดิการของพนักงาน
- จัดหา ดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องใช้สำนักงาน
- จัดเตรียมเอกสารและประสานงานกับสำนักงานบัญชีภายนอกเพื่อการจัดทำบัญชีและการเสียภาษีอากรของบริษัทฯ (ไทยคร๊าฟท์ว่าจ้างสำนักงานบัญชีอิสระให้จัดทำบัญชีเพื่อการเสียภาษีอากร)
- รับผิดชอบงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ขององค์กร
- ฯลฯ
ในฝ่ายบรรจุหีบห่อและฝ่ายบริหารจัดการทั่วไป พนักงานทุกคนสามารถทำงานทุกอย่างในฝ่ายของตนได้ และช่วยกันทำงานของฝ่ายตนโดยไม่เกี่ยงงานกัน

พนักงานมีความจงรักภักดีกับองค์กรสูง การลาออก (Turnover) และการขาดงาน (Absenteeism) อยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ ไม่ได้เข้มงวดกับเวลาเริ่มทำงานของพนักงานแต่ละคนในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม อัตราการมาทำงานสายของพนักงานก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานกับองค์กรพอสมควร ถึงแม้ว่างานของบริษัทฯจะมีปัญหาในช่วงใกล้การส่งมอบสินค้าค่อนข้างมาก จนทำให้พนักงานเกิดความเครียดก็ตาม บริษัทฯ จ่ายเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการให้กับพนักงานในอัตราที่พอๆ กับเกณฑ์เฉลี่ยของตลาดแรงงาน บริษัทฯ ปรับเงินเดือนให้พนักงานปีละครั้ง โดยไม่ได้กำหนดเกณฑ์ชัดเจนในการพิจารณา มักจะใช้ดุลพินิจของ กก. ผจก. เป็นหลัก ไทยคร๊าฟท์ยังไม่มีกฎระเบียบบริษัทที่ชัดเจน พนักงานถือเอาธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ เป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติตน

ผลประกอบการทางด้านการเงินของไทยคร๊าฟท์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมา ในระยะหลังลูกค้าประจำทุกรายสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจกล่าวได้ว่าบริษัทฯ ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับยอดขายและผลกำไรแต่อย่างใด ตั้งแต่กลางปี 2546 เป็นต้นมา ไทยคร๊าฟท์ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มอีก 2 – 3 ราย ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นถึง 100% เป็นผลให้ความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กรกับลูกค้าแต่ละรายเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย บริษัทฯ เริ่มมีปัญหาความล่าช้าในการสื่อสารกับลูกค้า ลูกค้าได้รับคำตอบจากบริษัทฯ ช้าเนื่องจาก กก. ผจก. ตอบอีเมล์ไม่ทัน นอกจากนี้ พนักงานในฝ่ายขายเริ่มมีปัญหาในการทำงาน กล่าวคือไม่สามารถสื่อสารกับหน่วยงานภายนอกองค์กรได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร เนื่องจากต้องรอ กก.ผจก. ถ่ายทอดคำตอบจากลูกค้า ต้องรอปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นกับ กก. ผจก. ต้องรอ กก. ผจก. เขียนอีเมล์ถามข้อมูลจากลูกค้า ฯลฯ ทำให้งานต่างๆ เกิดความล่าช้า นอกจากนี้ พนักงานในฝ่ายขายเริ่มมีงานล้นมือ เนื่องจากปริมาณออร์เดอร์เพิ่มขึ้น ทำให้บางครั้งเกิดความล่าช้าในการเตรียมวัตถุดิบให้กับโรงงาน เพราะพนักงานในฝ่ายขายติดพันอยู่กับออร์เดอร์เดิม จึงไม่สามารถปลีกตัวมาประสานงานกับ Supplier เพื่อเตรียมวัตถุดิบสำหรับออร์เดอร์ใหม่ได้ บางครั้งพนักงานในฝ่ายขายก็ยุ่งกับออร์เดอร์หนึ่งๆ จนไม่มีเวลาติดตามความคืบหน้าของออร์เดอร์อื่นอย่างใกล้ชิด ทำให้งานมีปัญหาค่อนข้างมาก ในส่วนของฝ่ายหีบห่อก็มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานไม่ทันเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ปริมาณออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานในฝ่ายบรรจุหีบห่อต้องใช้เวลาในบรรจุสินค้าลงกล่องและปิดผนึกเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดจากการทำงานของพนักงานในฝ่ายขายก็ทำให้การผลิตสินค้าเกิดความล่าช้าจนสินค้าเสร็จใกล้กับกำหนดส่งมอบมาก พนักงานในฝ่ายบรรจุหีบห่อต้องบรรจุสินค้าอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันตามกำหนด ความเครียดของพนักงานทุกคนโดยเฉพาะพนักงานในฝ่ายขายและฝ่ายบรรจุหีบห่อในช่วงใกล้การส่งมอบสินค้าจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ พนักงานในสองฝ่ายนี้มักจะต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ หรือบางครั้งต้องทำงานในวันหยุดเพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงตามกำหนด พนักงานเริ่มท้อแท้และผลัดกันลางานหลังจากการส่งมอบสินค้าแต่ละครั้ง


คุณอภิรักษ์เองก็หนักใจกับงานที่ล้นมือเช่นกัน ระยะหลังไม่มีเวลาให้คำปรึกษาและดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิดเหมือนที่เคยปฏิบัติเสมอมา นอกจากนี้ คุณอภิรักษ์ยังต้องยุ่งอยู่กับงานประจำวันที่เพิ่มมากขึ้นจนไม่มีเวลาสำหรับงานบริหารองค์กร เช่น การพัฒนากลยุทธ์ การพัฒนาองค์กร การมองหาโอกาส (Opportunity) และการป้องกันอุปสรรค (Threat) ต่างๆ ทางธุรกิจ เป็นต้น คุณอภิรักษ์กังวลกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างมาก และพยายามคิดหาหนทางแก้ไข แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$


ประเด็นการศึกษาค้นคว้า กรณีศึกษา “ไทยคร๊าฟท์”

จากกรณีศึกษาข้างต้น ให้นิสิตดำเนินการ ดังนี้
๑. กำหนดประเด็นคำถามที่เป็นข้อขัดแย้งทางความคิดในมุมมองของนิสิต โดยกำหนดให้ได้กว้างขวาง ครอบคลุมประเด็นปัญหาตามกรณีศึกษานี้ให้มากที่สุด ให้นิสิตเขียนประเด็นเหล่านั้นลงในเอกสารส่งอาจารย์ประจำชั้นด้วย อย่างน้อยควรจะได้ ไม่น้อยกว่า ๓ ประเด็น


ตอบ

ประเด็นที่ 1 : จากวิสัยทัศน์ ของไทยคร๊าฟที่ได้กล่าวไว้นั้น บริษัทสามารถปฏิบัติได้จริงหรือสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของบริษัทหรือไม่อย่างไร

ประเด็นที่ 2 : จากการทำงานของพนักงาน บริษัท ไทยคร๊าฟท์ พนักงานทุกคนมีงานทำหรือมีภาระหน้าที่ล้นมือ ท่านคิดว่า บริษัทควรรับพนักงานเพิ่มหรือไม่ อย่างไร

ประเด็นที่ 3: จากกรณีศึกษา “ไทยคร๊าฟท์” มีปัจจัยใดบ้างที่เน้นเหตุให้เกิดปัญหาต่อระบบการทำงานของบริษัท

ประเด็นที่ 4 : ท่านคิดว่า บริษัท ไทยคร๊าฟท์ จัดระบบโครงสร้างการทำงานเหมาะสมแล้วหรือไม่ อย่างไร

ประเด็นที่ 5 : หากท่านเป็นคุณอภิรักษ์ ท่านคิดว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

ประเด็นที่ 6 : ในระยะหลัง บริษัทเริ่มมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น หากท่านเป็นลูกค้าของบริษัท ท่านคิดว่าควรจะทำธุรกิจกับบริษัทต่อหรือไม่ อย่างไร


฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿

๒. จากประเด็นที่นิสิตกำหนดขึ้น นำมาประชุมกลุ่มกับเพื่อน เพื่อหลอมรวมความคิด และสรุปประเด็นคำถามให้เข้มข้นและกว้างขวางให้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การค้นคว้า


ตอบ

ประเด็นที่ 1(1) จาก vision ของไทยคร๊าฟ์ที่กล่าวถึง "ความสำเร็จของกิจการได้มาจากการลงทุนทางด้านทรัพยากรบุคคล ความรู้ ความยึดมั่นในบรรษัทภิบาลและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรธุรกิจ" นั้น ไทยคร๊าฟท์สามารถทำได้ตามที่กล่าวไว้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

รายละเอียด : จากวิสัยทัศน์ที่ไทยคร๊าฟท์กล่าวไว้นั้น สามารถกระทำได้จริงเฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้น เพราะจากคำกล่าวที่ว่า ความสำเร็จของกิจกรรมได้มาจากการลงทุนทางด้านทรัพยากรบุคคล แต่ไทยคร๊าฟท์มีพนักงานน้อยเกินไปทำให้พนักงานหนึ่งคนต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ ทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน ซึ่งพนักงานสามารถที่จะปฏิบัติงานต่างๆ มากมายได้ในช่วงแรก แต่พองานเพิ่มมากขึ้น พนักงานทุกคนล้วนแต่มีงานล้นมือ ทำให้ส่งงานให้ลูกค้าไม่ทัน จนต้องทำงานล่วงเวลาหยุดงานบ้าง งานก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลง วิสัยทัศน์ในข้อนี้จึงขัดต่อความเป็นจริงที่ว่าการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล แต่ไทยคร๊าฟท์ยังไม่ลงทุนเท่าที่ควร อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า สามารถทำได้ในระยะที่งานยังไม่มาก แต่พอกิจการขยายขึ้นบุคลากรหรือพนักงานก็ควรจะเพิ่มขึ้นด้วยตามวิสัยทัศน์ที่กล่าวไว้ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น กิจการก็จะขยายตามไปด้วย

ด้านความรู้ พนักงานที่ไทยคร๊าฟท์รับมานั้นส่วนมากเป็นคนที่บริษัทลูกค้าแนะนำมาให้ ซึ่งก็ยังขาดประสิทธิภาพในการทำงาน นั่นคือยังมีความรู้ไม่เพียงพอ เช่น พนักงานฝ่ายขายยังต้องรอให้ กก.ผจก. แปลรายละเอียดของออร์เดอร์ได้ เพราะพนักงานยังขาดทักษะในการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพนักงานที่รับเข้ามาทำงานยังขาดความรู้ อีกทั้งยังต้องรอให้ กก.ผจก. เป็นผู้สอนงานให้ แสดงว่าพนักงานที่รับมายังมีประสบการณ์น้อย ทำให้เสียเวลาในการทำธุรกิจ อีกอย่างหากพนักงานจะทำการใดต้องรอให้ กก.ผจก. เป็นผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งก็เป็นการทำให้เสียเวลาเช่นเคย

จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เมื่อบริษัทขยายกิจการขึ้น มีลูกค้ามากขึ้น บริษัทควรปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ไปตามด้วย ควรเป็นพนักงานมากขึ้น และควรรับพนักงานที่มีประสิทธิภาพเข้ามาทำงาน ทำให้ได้ตามวิสัยทัศน์ที่วางได้ เพราะในระยะหลังไทยคร๊าฟท์ไม่สามารถทำได้ตาม วิสัยทัศน์ที่ว่าไว้ หากไทยคร๊าฟท์จะบริหารธุรกิจต่อไปควรย้อนกลับมาดูวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ด้วย

ประเด็นที่ 2(4) ในความคิดของท่านคิดว่าการบริหารงานของคุณอภิรักษ์ ดีแล้วหรือไม่อย่างไร

รายละเอียด : ในความคิดของกลุ่มข้าพเจ้าคิดว่า การบริหารงานของคุณอภิรักษ์ยังไม่ดีพอ เพราะ

1. ระบบการรับพนักงานเข้าทำงานยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะคุณอภิรักษ์รับพนักงานเข้ามาทำงานตามคำแนะนำของลูกค้า ถึงแม้จะจบปริญญาตรีก็จริง แต่ยังขาดความรู้ทางด้านการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ แสดงว่าพนักงานที่รับเข้ามาทำงานนั้นยังไม่มีคุณภาพ ดังนั้น คุณอภิรักษ์ควรมีการสัมภาษณ์พนักงานเป็นอย่างดีก่อนรับเข้ามาทำงานเพื่อจะได้พนักงานที่มีคุณภาพ และควรรับพนักงานที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน เพื่อจะได้เรียนรู้การทำงานได้อย่างรวดเร็ว งานก็จะออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ควรมีหัวหน้าฝ่ายในแต่ละฝ่าย เพื่อคุณอภิรักษ์จะได้มีเวลาในการบริหารองค์กร เพราะจากปัญหาที่พบนั้น เนื่องจากไม่มีหัวหน้าฝ่ายงาน เลยเป็นเหตุให้เวลาที่พนักงานประสบปัญหาต่างๆ จึงต้องรีบวิ่งเข้าหาคุณอภิรักษ์โดยตรง ซึ่งจะทำให้เสียเวลาทั้ง 2 ฝ่าย ทางที่ดีคุณอภิรักษ์ควรรับสมัครหัวหน้าฝ่ายงานเพิ่ม เพื่อแบ่งหน้าที่ของตนเอง และการทำงานจะได้มีระบบมากยิ่งขึ้น

3. การมอบหน้าที่ ให้แก่พนักงานแต่ละคนยังไม่ชัดเจนและไม่ตายตัว ซึ่งดูเหมือนเป็นการทำงานที่ไม่มีระบบ เพราะพนักงานฝ่ายขายไม่ได้มีหน้าที่ขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นฝ่ายเดินเอกสาร รับออร์เดอร์ ประสานงาน จัดทำเอกสารต่างๆ อีกอย่างหน้าที่ของแต่ละครนั้นมากเกินไป ทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพ อย่างฝ่ายหีบห่อยังต้องมาเดินเอกสารหรือติดต่อหน่วยงานภายนอกด้วย ซึ่งไม่ใช่หน้าที่โดยตรง ทำให้เกิดการทำงานที่ไม่เป็นระบบ ดังนั้นคุณอภิรักษ์ควรวางระบบการทำงานใหม่ วางแผนโครงงานการทำงานของพนักงานทุกคน พร้อมบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน เพื่อให้ได้ทั้งานที่มีคุณภาพ และพนักงานที่มีประสิทธิภาพ

4. บริษัทยังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจน เพราะพนักงานถือเอาธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ เป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติตน เช่น การให้โบนัส แก่พนักงานหรือปรับเงินเดือนให้พนักงาน โดยไม่มีการกำหนดเกณฑ์หรือพิจารณาอะไรมากนัก ทุกอย่างมันอยู่กันดุลพินิจของกก.ผจก. เป็นหลัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการลำเอียงต่อพนักงานก็เป็นได้ หากยังไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางบริษัทเอง คุณอภิรักษ์ควรตั้งกฎระเบียบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้เป็นบริษัทที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ประเด็นที่ 3(5) หากท่านเป็นคุณอภิรักษ์ ท่านจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร

รายละเอียด : หากข้าพเจ้าเป็นคุณอภิรักษ์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ข้าพเจ้าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ดังนี้

1. รับพนักงานที่มีประสิทธิภาพมาทำงาน โดยการจัดระบบการสัมภาษณ์ก่อนเข้าทำงาน โดยการเปิดรับสมัครพนักงานโดยตรง แบบไม่ต้องผ่านคำแนะนำของลูกค้า เพื่อจะได้รู้พื้นฐานความรู้รอบตัวของพนักงานแต่ละคนที่จะรับเข้ามาทำงาน

2. วางแผนระบบการทำงานให้ชัดเจน พนักงานแต่ละคนของแต่ละฝ่ายมีหน้าที่ที่ชัดเจน แยกงานออกเป็นแต่ละฝ่ายอย่างเป็นระบบ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายเอกสาร ฝ่ายรับออร์เดอร์ ฝ่ายสื่อสารธุรกิจกับลูกค้า ฝ่ายส่งเอกสาร ฝ่ายประสานงาน ฝ่ายผลิต เป็นต้น เพราะหากจัดระบบหน้าที่ที่ชัดเจนแล้ว พนักงานแต่ละคนก็จะมีหน้าที่ที่ชัดเจน ดูแลรับผิดชอบแค่ได้รับมอบหมาย งานก็จะดูแคบลงและทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพและส่งสินค้าทันตามที่กำหนด

3. บริษัทควรรับพนักงานเพิ่ม เพราะบริษัทได้ขยายธุรกิจ มีลูกค้าสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่พนักงาน 1 คน จะได้รับในหลายออร์เดอร์และหลายหน้าที่พร้อมกัน อีกอย่างได้ระบุไว้ว่าให้พนักงานคนเดิมรับออร์เดอร์จากลูกค้าคนเดิม หากเป็นเช่นนั้นเมื่อมีลูกค้ามาส่งสินค้าเพิ่ม โดยเฉพาะเป็นลูกค้ารายใหม่ ก็ต้องมีพนักงานคนใหม่มารับออร์เดอร์ไปทำ แต่ไทยคร๊าฟท์ยังมีพนักงานไม่เพียงพอต่อการให้บริการลูกค้า ฉะนั้นเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทจึงควรรับพนักงานเพิ่มขึ้นและจะได้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ ที่ว่า "ลงทุนด้วยทรัพยากรบุคคล"

4. บริษัทควรมีหัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่าย และมีฝ่ายบุคคลไว้เพื่อให้คำแนะนำแก่พนักงาน เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณอภิรักษ์ในการบริการให้คำปรึกษาแก่พนักงานในฝ่าย เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และงานจะได้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงาน เพราะพนักงานไม่ต้องรอรับคำตอบจากกก.ผจก.

5. ควรร่างระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางบริษัทขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้แก่พนักงาน เช่น จะมีโบนัสให้พนักงาน ก็ต้องมีเหตุผลและหลักเกณฑ์ที่สมควรที่พนักงานคนนั้นจะได้รับ และเพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้กับพนักงานคนอื่นๆ ด้วย และเพื่อให้ระบบของบริษัทแลดูเป็นสากลมากขึ้น...

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



กรณีศึกษา ภาพยนตร์โฆษณากอล์ฟสิงห์

ภาพยนตร์โฆษณากอล์ฟสิงห์
เมื่อนิสิตได้ ชมภาพยนตร์โฆษณาสิงห์ทั้ง 3 ภาค แล้ว
คำสั่งที่ 1 : ให้นิสิตสรุปใจความสำคัญ ของทั้ง 3 ภาค ว่าแต่ละภาค ว่า จากภาพยนตร์โฆษณา สื่อถึงอะไร และในภาพยนตร์โฆษณาแต่ละชุด บอกอะไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง
คำสั่งที่ 2 : ให้สรุปภาพรวม ของภาพยนตร์โฆษณาทั้ง 3 ภาค และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ชุดนี้

ภาพยนตร์โฆษณาเบียร์สิงห์ ภาค 1

รายละเอียด(สังเขป)
- กอล์ฟมี 18 หลุม หากพลาดหลุมใด ให้ลืมหลุมนั้นทันที
ก. บุญชู เรืองกิจ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 1)
"ตัดทิ้งไปเลย หลุมที่ผ่านมา ตัดทิ้งไปเลย มุ่งไปข้างหน้า"
ข. ศุภพร มาพึ่งพงษ์ (ผู้อำนวยการทีมกอล์ฟสิงห์)
"มันไม่ใช่ที่สิ้นสุดของชีวิต"
- ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก เรายังมีความหวังเสมอ

ค. ถาวร วิรัตน์จันทร์ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 2) "แรง... แรง...หัวใจ ควบคุมให้ได้"
ง. ธรรมนูญ ศรีโรจน์ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 3) "ใจต้องเด็ดขาด... เหมือนมีพลังจิต... เราต้องนิ่ง"

*ในเกมส์กอล์ฟ ถ้าใจชนะก็ชนะแล้ว และเกมส์ชีวิตก็เหมือนกัน*
สรุป...
ในเกมส์กีฬาย่อมมีแพ้หรือชนะ ถ้าเกิดความผิดพลาดในเกมส์การแข่งขัน ต้องลืมเรื่องนั้นทันที แล้วตั้งความหวังขึ้นมาใหม่ และทำให้ได้ เพราะการจดจ่ออยู่กับสิ่งที่พลาดจะทำให้ไม่ม่สมาธิ ความหวังและความมุ่งมั่นจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ และถ้าเกิดความผิดพลาด แต่เราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี ก็ถือว่าเราชนะใจตนเองได้

คำคมคิด...
"หากเราทำผิดพลาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขอให้เรานำเอาความผิดพลาดนั้นมาเป็นบนเรียนและแรงผลักดันให้เราลุกขึ้นสู่ต่อไป ก่อนจะที่เราจะโยนความผิดพลาดนั้นออกไปให้ไกลๆ ถ้าใจของเราอดทน มุมานะแล้วก็เท่ากับเราชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าหากเราประสบความสำเร็จในชีวิต นั้นหมายความว่าเราได้ชนะใจของตนเอง ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่"


*(@_@)**(@_@)**(@_@)*

ภาพยนตร์โฆษณาเบียร์สิงห์ ภาค 2

รายละเอียด (สังเขป)
- ซ้อมจริงๆ จะไม่มีสิ่งใดมากวนไม่ได้
ก. บุญชู เรืองกิจ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 1)
"เวลาซ้อม ห้ามรับโทรศัพท์"
- การฝึกวงสวิง จะต้องฝึกซ้ำๆ จนกล้ามเนื้อจำวงสวิงได้
ข. ถาวร วิรัตน์จันทร์ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 2)
"กอล์ฟมันต้องซ้อม ถ้าไม่ซ้อมให้เล่นทั้งชาติก็ไม่ได้"
- ในเกมส์กอล์ฟ การฝึกซ้อม เหมือนการปรับโฟกัส กล้องให้ชัด
ค. ชินรัตน์ ผดุงศิลป์ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 3)
"300-400 ลูก ชิฟพัดลง..."
- ในบางจุดการซ้อมต้องละเอียดถึงทฤษฎีแรงลม
ง. เชาวลิต พลาพล (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 2)
"ต้องมาซ้อมก่อน เราต้องมาโรญหญ้า โปรยหญ้า ว่าลมแรงขนาดไหน เราต้องเพิ่มเหล็กเข้าไป ทุกอย่างมันเป็นไปได้ ถ้าเราฝึกซ้อมอย่างหนัก"

* โชคดีในมนุษย์อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ *

สรุป...
วิธีการที่เราจะตีกอล์ฟให้เก่ง ต้องเริ่มจากเราต้องมีความมุ่งมั่น กระหายที่จะมีความสำเร็จ และเมื่อเราต้องการความสำเร็จ เราก็ต้องขยันฝึกซ้อม ยิ่งฝึกซ้อมบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะมีวิธีความชำนาญมากขึ้นเท่านั้น และเราต้องมีสมาธิ ความละเอียดรอบคอบทุกครั้งที่จะตีลูกออกไป เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทุกครั้งเราต้องดูทางลม ลมมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้ลูกนั้นไปในทิศทางไหน ยังอุปสรรคมีมากมายอย่างนี้ เราก็ยิ่งต้องฝึกซ้อมให้หนักและการมาสนามซ้อมก่อนเวลา เพื่อจะทำให้นักกอล์ฟมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นด้วย

คำคมคิด...
"สิ่งดีๆ ที่มีเข้ามาในชีวิตของเรา ล้วนแล้วเป็นผลของการกระทำของเราทั้งสิ้น ที่เราได้เพียรพยายามบากบั่น เหน็ดเหนื่อยกับสิ่งนั้น ทุ่มเทให้สิ่งนั้น เพื่อแลกกับสิ่งดีๆ เข้ามา บ่อยครั้งสิ่งดีๆ อาจจะมาหาเราโดยความบังเอิญ แต่นั่นอาจจะมีโอกาสน้อยมากๆ สู้เราทำด้วยตนเองดีกว่า จะเกิดความภูมิใจแก่ตัวเรา"


*(@_@)**(@_@)**(@_@)*

ภาพยนตร์โฆษณากอล์ฟสิงห์ ภาค 3

รายละเอียด (สังเขป)
- คุณสมบัติพิเศษของนักกอล์ฟไทย คือนักสู้
ก. ประหยัด มากแสง (ทีมกอล์ฟสิงรุ่น 2)
"ไม่เป็นแคทดี้ ก็มอไซด์รับจ้าง"
ข. ชัพชัย นิราศ (ทีมกอล์ฟสิงรุ่น 3)
"เอาลูกกอล์ฟไปขาย"
ค. พรหม มีสวัสดิ์ (ทีมกอล์สิงรุ่น 3)
"พอเลิกเรียน มาดูวิธีการเล่น"
ง. ธงชัย ใจดี (ทีมกอล์ฟสิงรุ่น 2)
"เมื่อได้โอกาศมาแล้ว เราจะต้องทำอย่างไร ให้เด็กพวกนี้มีโอกาสเล่นกีฬากอล์ฟ อนาคตเด็กไทย ก็จะก้าวตามรุ่นพี่ หรือดีกว่ารุ่นพี่"
จ. บุญชู เรืองกิจ (ทีมกอล์ฟสิงห์รุ่น 1)
"สร้างเด็กรุ่นใหม่ สร้างให้ไป..."
- มีพูดว่าตีกอล์ฟไปให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว

ฉ. ศุภพร มาพึ่งพงษ์ (ผู้อำนวยการทีมกอล์ฟสิงห์)
"ตราบใดที่คุณมีความมุ่งมั่น คุณก็สู้เขาได้หมด"
สรุป...
แรงจูงใจ โอกาส การสังเกต และความทะเยอทะยาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เป็นนักกอล์ฟที่ประสบผลสำเร็จและยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ นักกอล์ฟจะต้องมาที่สนามอยู่เสมอๆ เพื่อศึกษาวิธีการเล่นของผู้อื่น และเมื่อได้รับโอกาสนั้นแล้ว ก็ควรสร้างโอกาสให้กับเยาวชน เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนเป็นนักกอล์ฟที่มีคุณภาพ และทำให้ชาวต่างชาติได้รู้ว่า ฝีมือของคนไทยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติใดในโลก

คำคมคิด...
"หากเราได้ตั้งจุดมุ่งหมายอะไรไว้ เราก็ควรมุ่งมั่นรีบตามหาความฝันโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เราจะไม่มีวันนั้นให้ชื่นชมกับความฝันนั้น เพราะวันเวลาไม่รอใครอยู่แล้ว"


*(@_@)**(@_@)**(@_@)*

กรณีศึกษา เพลง หนุ่มบาว-สาวปาน


เพลง หนุ่มบาว-สาวปาน

เนื้อเพลง : หนุ่มบาว-สาวปาน
ศิลปิน : คาราบาว
อัลบั้ม : หนุ่มบาวสาวปาน กรีดยางอยู่ใต้ไม่ปลอดภัย

" มาขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่ใน กทม.
ไอ้ไข่นุ้ยลูกทักษิณรูปหล่อ
ไม่ชอบเพลงฮาทคอร์ชอบเพลงคาราบาว
ได้แฟนเป็นเด็กแนวสายเดี่ยว
แต่อยู่กันเดี๋ยวเดียวก็ออกลายน้ำเน่า
บอกอยู่กันไปก็อดตายเปล่าๆ
เบื่อแล้วคาราบาวอยากจะโมเดิร์นด็อก
คนจนก็เลยไม่ยิ่งใหญ่ น้ำตาตกในรักมาสุดราง
สัญญาหน้าฝนมันเก่า หัวควายต้องเศร้าสาวเจ้าล้างบาง

สาวจันทร์น้องนางจากบ้านนา
มาเสี่ยงดวงชะตาเพื่อจะเจอโชคดี
จบ ม.3 ยังไม่ข้าม ม.4
เลือกอาชีพสตรีขายบริการ
เป็นบ้านเล็กของเสี่ยใหญ่
เสี่ยไม่เข้าใจทำไมลื้อชอบเพลงปาน
มันด่าผู้ชายหลายใจทั้งวัน
เสี่ยชักรำคาญเลิกกันดีกว่า

ผู้หญิงทุกคนเอาแต่ใจ น้ำตาตกในตบมือข้างเดียว
เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายไม่รู้ แต่ผู้หญิงเค้ารู้ผู้ชายไม่เกี่ยว



ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ
หนุ่มสาวได้มาพบกันในคืนร้าวราน
คนเหงาย่อมเข้าใจคนเหงา
เมื่อสายตาเศร้าๆ ส่งไปทักทายกัน

หนุ่มขอเพลงบาวสาวก็ขอเพลงปาน
หนุ่มร้องเพลงบาวสาวก็ร้องเพลงปาน
ดอกรักผลิบาน ณ ตะวันแดง

ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ
หนุ่มสาวได้มาพบกันในคืนร้าวราน
คนเหงาย่อมเข้าใจคนเหงา
เมื่อสายตาเศร้าๆ ส่งไปทักทายกัน

หนุ่มสาวสานความสัมพันธ์
ย้ายไปอยู่ด้วยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
เปิดเพลงปานฟังด้วยกันตอนบ่าย
กลับจากวินมอไซค์ ก็เปิดคาราบาว


สองแรงร่วมด้วยช่วยกัน
หวังว่าอีกไม่นานมันต้องดีกว่าเก่า
เปลี่ยนสวรรค์บนดินให้เป็นดาว
ว่าจะเปิดร้านเหล้า ชื่อว่าร้านบาวปาน

หนุ่มบาวสาวปาน หนุ่มบาวกับสาวปาน
สองกายหัวใจเดียวกัน รวมสร้างตำนานรักทรหด

หนุ่มบาวสาวปาน หนุ่มบาวกับสาวปาน
สองกายหัวใจเดียวกัน รวมสร้างตำนานรักทรหด "

ฟังเพลง หนุ่มบาว สาวปานแล้ว
คำสั่งที่ 1 : ให้นิสิต สรุปใจความจากเนื้อเพลงที่ได้ยิน เป็นเรื่องราว โดยย่อ และใช้สำนวนของตนเอง
หนุ่มบาว คือ ชายหนุ่มแดนใต้มีอาชีพกรีดยางพารา แต่เพราะคงความไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์ทางภาคใต้ จึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้ามาทำงานขับวินมอเตอร์ไซด์อยู่ในกรุงเทพมหานคร จนมีแฟนเป็นหญิงสาวที่ทันสมัย แต่อยู่กันได้ไม่นานก็ต้องเลิกรากันไป เพราะความจน


สาวปาน คือ หญิงสาวชาวจันทบุรี เพิ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ได้เดินทางเข้ามาขายบริการ โดยเธอได้เป็นภรรยาน้อยของเสี่ยที่กรุงเทพมหานคร ในที่สุดก็ต้องเลิกกันไป เพราะเสี่ยรำคาญเธอที่ชอบฟังแต่เพลงของปาน ที่ชอบด่าผู้ชายตลอด

โชคชะตาได้ดลบันดาลให้หนุ่มใต้-สาวจัน มาพบกันที่ร้านตะวันแดง หนุ่มใต้ก็ขอเพลงคาราบาว ส่วนสาวจันก็ขอเพลงปาน ด้วยความเหงา และประกอบกับถูกหักอกมา ทั้งสองจึงมารักกัน และย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ในตอนบ่ายก็เปิดเพลงปาน ตกเย็นขับวินมอเตอร์ไซด์เสร็จ ก็เปิดเพลงคาราบาว แล้วจึงเปิดกิจการส่วนตัว คือ ร้านสุรา(เหล้า) ให้ชื่อว่า ร้าน บาว-ปาน ทั้งสองก็ดำเนินชีวิตคู่มาอย่างมีความสุข


คำสั่งที่ 2 : แสดงความคิดเห็นถึง เพลงนี้ หรือเรื่องราว ของบุคคลสองคนในเพลง หรือ วิจารณ์แสดงความรู้สึกถึง เนื้อหาเพลงนี้
วิเคราะห์: คู่รักคู่นี้เหมาะสมกัน เนื่องจากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน แม้ว่าผู้ชายจะชอบฟังเพลงคาราบาว ส่วนผู้หญิงชอบเพลงปาน ซึ่งคนละสไตล์ แต่ทั้งคู่ก็ไม่นำมาเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตคู่ สามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีแนวคิดที่จะเอาสิ่งที่ตนเองชอบมาปรับให้เข้ากัน แล้วนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข "

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กรณีศึกษา : จับหรือปล่อย ?



วันหนึ่ง ทางสถานีตำรวจภูธรแสนสุข ได้รับแจ้งเหตุ จากร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งว่า จับขโมยที่เข้ามาขโมยของในร้านได้ 2 คน เมื่อตำรวจเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบคนร้ายคือเด็กผู้ชาย 2 คน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน คนพี่ อายุ 15 น้อง อายุ 13 เมื่อตำรวจสอบสวน และให้เด็กทั้งสองพาไปยังบ้านพัก ที่อยู่ในชุมชนแออัด แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าในบ้าน พบตากับยายของเด็กทั้งสอง อยู่ในสภาพ ตาป่วยเป็นอัมพฤกษ์นอนบนที่นอน ลุกไปไหนไม่ได้ และยายตาบอดมองไม่เห็นและเคลื่อนไหวลำบาก สภาพบ้านเก่า ทรุดโทรม น่าเวทนายิ่งนัก ตำรวจจึงถาม 2 พี่น้องว่า “ทำไมเราต้องขโมยของที่ร้านด้วย” ทั้งสองตอบว่า “ผมจำเป็น ไม่งั้นผมกับน้องและตายายก็จะไม่มีอะไรกิน“ ชาวบ้านละแวกนั้น ช่วยกันขอร้องตำรวจว่า อย่าจับเด็กสองคนนี้เลย เพราะเด็กทั้งสองเป็นเด็กกตัญญู ที่ทำไปเพราะต้องการเอาของมาเลี้ยงตากับยายเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น

จากสถานการณ์ ท่านคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้
1. หากท่านเป็นตำรวจ อยากถามว่า เด็กทั้งสองทำผิดหรือไม่ ถ้าผิด เพราะอะไร ถ้าไม่ผิด เพราะอะไร?

2. ท่านจะตัดสินใจจับเด็กทั้งสองดำเนินคดี หรือจะปล่อยตัวไปเป็นอิสระ ถ้าจับดำเนินคดี เพราะอะไร? และถ้าปล่อยตัวไป เพราะอะไร?

กรณีที่ 1
1.1 จับทันที่ เมื่อทำผิดครั้งแรก
เหตุผล 1. ตำรวจต้องปฏิบัติตามหน้าที่และต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
2. สะท้อนบทบาทกฎหมายของสังคมไทย
3. เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่บุคคลอื่น
4. เพื่อไม่ให้มีครั้งต่อไป
5. เพื่อเป็นการดัดนิสัยและเป็นบทเรียนแก่เด็กไม่ให้กระทำเช่นนั้นอีก


1.2 ปล่อย เนื่องจากเป็นการกระทำผิดครั้งแรก
เหตุผล 1. เพื่อเป็นการให้โอกาสเด็กให้ได้เป็นบทเรียนและนำไปคิด
2. เด็กกระทำผิดเนื่องจากมีเหตุผล
3. เด็กมีความกตัญญู น่าสงสาร
4. เพื่อให้เด็กมีอนาคตที่ดี ไม่อยากให้มีราคีติดตัวเพราะจะลำบากในอนาคต
5. ลงบันทึกประจำวันไว้ และลงทัณฑ์บนไว้ไม่ให้กระทำผิดซ้ำ





กรณีที่ 2
2.1 จับ เมื่อกระทำผิดซ้ำ
เหตุผล 1. จับทันที่ เพราะได้กระทำผิดเป็นครั้งที่ 2
2. ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะได้ให้โอกาสแก่เด็กแล้ว
3. เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่บุคคลอื่น
4. แม้จะมีเหตุผลในการทำผิดก็ต้องจับ เพราะเคยทำผิดมาก่อน
5. เด็กเคยทำผิดมาแล้วและกำลังอยู่ในช่วงทัณฑ์บน แต่ได้มากระทำผิดซ้ำ

2.2 ปล่อย เมื่อกระทำผิดซ้ำ
เหตุผล 1. เด็กมีเหตุผลที่กระทำ
2. เด็กมีความกตัญญู กระทำไปเพราะต้องหาเลี้ยงตาและยาย
3. เด็กน่าสงสารเพราะต้องรับผิดชอบชีวิตของตาและยาย
4. หากจับเด็กจะทำให้เด็กไม่มีอนาคต สังคมก็จะลงโทษทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ให้โอกาสแก่เด็ก
6. กฎหมายยืดหยุ่นได้ตามเหตุผล ให้เด็กทำงานเป็นการไถ่โทษ ให้ฝึกอาชีพ จะได้มีรายได้หาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้


สรุป
จากกรณีศึกษา จับหรือปล่อย จากการพิจารณาตามเหตุผลแล้ว ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า ควรจะจับเด็กในกรณีที่เด็กกระทำผิดเป็นครั้งที่ 2 เพราะเมื่อเด็กกระทำผิดในครั้งแรก ทำไปเพราะความกตัญญูแก่ตายายที่ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ เด็กมีความจำเป็นและมีเหตุผลในการกระทำ อีกทั้งชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นยังได้เห็นว่าเด็กเป็นคนกตัญญู อย่าจับเลย เด็กทำไปเพราะมีความจำเป็น ซึ่งตามกฎหมายแล้วนั้น เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ตำรวจต้องทำการสอบสวนแล้วพิจารณาตามความเหมาะสม เมื่อเด็กกระทำไปเพราะมีความจำเป็นอีกทั้งยังเป็นการกระทำที่อาจเป็นไปได้ว่าเป็นครั้งแรกนั้น ก็ควรที่จะยืดหยุ่นให้ ซึ่งอาจลงบันทึกประจำวันไว้ เป็นการลงทัณฑ์บนมิให้เด็กกระทำผิดซ้ำอีก และจะเป็นการให้โอกาสแก่เด็กคิดและทำใหม่ เพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี ไม่มีตราบาปติดตัวและไม่ถูกสังคมลงโทษ แต่หากเด็กกระทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จึงควรดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะได้ให้โอกาสแก่เด็กแล้วแต่เด็กไม่รับโอกาสนั้น จึงไม่สามารถที่จะให้อภัยได้อีก ซึ่งเด็กต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยขัดขืนมิได้





กรณีศึกษา : ซื้อหรือเช่า ?



โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ม.1- ม.6 มีนักเรียนประมาณ 3,000 คน ทางโรงเรียนกำลังจะต้องพัฒนาห้องเรียนคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ให้เพียงพอกับการใช้งาน โดยต้องการมีห้องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 4 ห้อง และแต่ละห้องต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิด Multi media ที่มีการเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายคอมพิวเตอร์ และเชื่อมต่อกับ Server ของโรงเรียน อันจะทำให้คอมพิวเตอร์ทั้งหมดสามารถใช้สืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อห้องอย่างน้อย 50 เครื่อง ผู้บริหารกำลังขอร้องให้สมาคมครูและผู้ปกครองของโรงเรียน ช่วยเป็นเจ้าภาพจัดหางบประมาณให้ แต่ทางสมาคมฯ ยื่นข้อเสนอว่า ขอให้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพเหมาะกับการเรียนการสอน ส่วนเรื่องงบประมาณ นั้น ควรจะหาทางประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้การจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมี 2 แนวทาง คือ การจัดซื้อมาใช้และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเป็นผู้ดูแลซ่อมบำรุง อีกวิธีหนึ่งคือ การจัดหาด้วยวิธีการเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมการดูแลซ่อมบำรุง (3 ปี) เมื่อครบ 3 ปี บริษัทผู้ให้เช่าจะยกเครื่องคอมพิวเตอร์กลับประเด็นพิจารณาจากสถานการณ์ข้างต้น นิสิตจะ1. ตัดสินใจเสนอแนะ ต่อทางโรงเรียนให้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด หรือใช้วิธีการเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์2. เหตุผลประกอบการตัดสินใจเช่นนั้น ที่มีความสมเหตุสมผล และหนักแน่น โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการประกอบอย่างชัดเจน


กรณีซื้อ

ข้อดี

1. มีไว้เป็นสาธารณสมบัติของโรงเรียน
2. บุคลากรในโรงเรียนเป็นผู้ดูแล ซ่อมแซมหากคอมพิวเตอร์เสีย
3. สร้างจิตสำนึกที่ดีให้นักเรียนในการรักษาสาธารณสมบัติของโรงเรียน
4. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
5. หากเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าสามารถขายคืนให้แก่บริษัทที่ซื้อมาได้
6. ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใหม่ คุณภาพดี สามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมที่ต้องการ
7.เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อใหม่คงคุณภาพได้นาน เพราะนักเรียนใช้คอมพิวเตอร์ได้ในขอบเขตที่ครูผู้สอนกำหนด


ข้อเสีย

1. ใช้งบประมาณในการซื้อค่อนข้างสูง และงบประมาณมีน้อย
2. บุคลากรขาดความรู้ในการซ่อมแซมคอมพิวเตอร์
3. อายุการใช้งานไม่ค่อยนาน และทำให้ต้องหางบประมาณในการจัดซื้อใหม่

กรณีเช่า
ข้อดี

1. ราคาการเช่าคอมพิวเตอร์ถูกกว่าการซื้อใหม่ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
2. สามารถส่งลงโปรแกรมต่างๆได้ตามที่ต้องการ
3. ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เสีย ทางบริษัทที่ทำสัญญาเช่ารับซ่อมฟรี บุคลากรไม่เสียเวลาตรงนี้ นำเงินที่เหลือไปใช้จ่ายในส่วนอื่น
4. หากเครื่องคอมพิวเตอร์หมดอายุการใช้งานสามารถนำมาเปลี่ยนเครื่องใหม่กับทางบริษัทได้

ข้อเสีย
1. ได้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน คุณภาพไม่ดี
2. หากมีปัญหาคอมพิวเตอร์เสียต้องแจ้งล่วงหน้า 1 สัปดาห์ ทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการเรียนการสอน
3. ข้อตกลงในการทำสัญญาเช่าค่อนข้างมาก
4. การลงโปรแกรมใหม่ทุกครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
5. กรณีคอมพิวเตอร์เสียจะซ่อมให้ฟรีก็ต่อเมื่อคอมพิวเตอร์มีอาการตามที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

สรุป
จากกรณีศึกษา ซื้อหรือเช่าดีกว่ากัน ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ควรที่จะซื้อดีกว่าเพราะการศึกษาคือการลงทุน การที่ซื้อคอมพิวเตอร์นั้นจะทำให้ได้คอมพิวเตอร์ที่ดี มีคุณภาพ อีกทั้งยังไดเป็นสาธารณสมบัติของโรงเรียน สร้างจิตสำนึกที่ดีในการดูแลรักษาให้กับนักเรียน เสียค่าใช้จ่ายมากเพียงครั้งเดียวย่อมดีกว่าต้องมาคอยเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมคอมพิวเตอร์ในแต่ละครั้ง นอกจากนั้นยังมีอายุการใช้งานดีกว่า การประกันคุณภาพมั่นคงกว่า ไม่เสียเวลาในการดำเนินการเรียนการสอน
ดังนั้น การซื้อคอมพิวเตอร์ย่อมดีและคุ้มกว่าการเช่าคอมพิวเตอร์แน่นอน